วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเมืองไทย

มาถึงบทความอันสุดท้ายที่สุดของการบ้านวิชานี้แล้ว
แต่กว่าจะได้เริ่มใช้ระยะเวลาในการดองไว้
จนเกือบจะสายหรือสายไปแล้วคะ TT
อาจารย์แรก ยังไงก็ต้องขอประทานอภัยโทษด้วยค่ะ ^^
การบ้านในครั้งนี้ดูจะยากมากจากหัวข้อ
ที่ว่า "หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเมืองไทย"
หลวงประดิษฐ์ คือใคร ????
นั่นแหละ เพราะว่าไม่รู้ ตอบไม่ได้ ถึงได้มาทำ TT
( google ช่วยท่านได้)^^
(สำนักหอสมุดม.บูรพา ช่วยท่านได้)^^



เชื่อว่าใครหลายๆคนคุ้นชื่อกับหลวงประดิษฐ์มนูธรรมแน่นอน
แต่ไม่รู้หรอกว่าท่านผู้นี้มีความสำคัญกับเราอย่างไร??


++ถ้าบอกว่าท่านผู้นี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 3 สมัย
++ถ้าบอกว่าท่านผู้นี้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7
(เริ่มนับ ... คนแรกคือใครรู้รึยัง .. 55)
++ถ้าบอกว่าท่านมีบทบาทสำคัญ
ในการร่าง รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม
++ถ้าบอกว่าท่านคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
( 24 มิถุนายน 2475)..คุ้นๆ กับวันที่เหล่านี้มั๊ย
และสุดท้าย ถ้ายังนึกไม่ออก เราจะบอก
++อีกชื่อนึงของท่าน คือ นายปรีดี พนมยงค์
คาดว่าทุกคนคงจะอ๋อ ...!!!
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<(รู้ยัง)^^"
และทุกข้อที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลงาน
บางส่วนที่แนะนำพอคร่าวๆ
เพื่อให้รู้จัก บุคคลที่มีความสำคัญต่อประเทศของเรามากยิ่งขึ้น


ในปัจจุบันนี้ สังคมที่เราอาศัยอยู่
เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย !!!!
(จริงป่าว) ..
ใช่__เป็นระบอบประชาธิปไตย
แต่กระบวนการที่เราเห็น ณ ตอนนี้ ดูจะไม่เป็นประชาธิปไตยเลย
ประชาธิปไตยคือการยอมรับและดูแล และได้เสียงจากคนส่วนมาก
เพราะประโยชน์นั้นครอบคลุมคนทุกส่วน
แต่ ณ ปัจจุบัน ฝ่ายนู้นก็มาก ฝ่ายนี้ก็มาก
(เอ..ฝ่ายไหนหว่า อิอิ )
สู้รบกันมันส์จริงๆ
เรารู้หรือไม่ว่า ประเทศเรากว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง
มาจนถึงขนาดนี้ มีผู้ที่เสียเลือดเสียเนื้อไป
ไม่รู้ต่อกี่คน ยังไม่นับที่สาบสูญอีก ทำไมประเทศเราจึงเป็นเช่นนี้
เมื่อก่อนประเทศเรารักกันจาตาย
(แต่ตอนนี้ก็น้อยกว่าแต่ก่อน >>>>)
มันเป็นเพราะอะไรกัน???
คงไม่ใช้เป็นข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
ของระบอบประชาธิปไตยหรอกมั๊ง ..
(คิดเอาเอง) ie-ie

นายปรีดีตระหนักดีว่าสังคมเราจะเป็นประชาธิปไตยได้
ก็ต่อเมื่อคนจำนวนมากได้รับการคุ้มครองสิทธิ
และได้รับโอกาสพัฒนาตนเอง
ท่านทราบดีว่าการให้แต่เสรีทางการเมือง
โดยไม่ส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ชนเหล่านั้น
ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง
ท่านพยายามที่จะทำลายระบบศักดินา
และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจเพื่อให้เกิดสังคมที่ดีงามขึ้น
ท่านปรารถนา ที่จะส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี
และความเข้าใจกันในระหว่างคนร่วมชาติ
เพื่อให้พวกเขาได้พัฒนาตนเอง
ให้เกิดความใส่ใจและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
อันต่างจากระบบที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างทำลาย
ซึ่งเป็นการสูญพลังไปโดยเปล่าประโยชน์
นายปรีดีมีวิสัยทัศน์มุ่งให้ประชาชนทั้งมวล
มีส่วนร่วมในการเสียสละเพื่อความไพบูลย์ของสังคมร่วมกัน

(ชัดเจน)

ชัดเจนขนาดนี้ !!!!
ไฉนเลย บ้านเมืองของเรายังระส่ำระส่ายเช่นนี้
ท่านได้นำระบอบประชาธิปไตยเข้ามา
และมีความสำคัญต่อประเทศชาติมากมายขนาดนี้
ทำไม ถึงไม่มีใครมองเห็นสาระของความสำคัญ
ของความยากลำบากที่ท่านได้ทำมา
เป็นเพียงบุคคลที่สำคัญแต่ไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไรกับคนทั่วๆไปเท่านั้นเอง
ถ้าไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังใครจะรู้ ...
เมื่อไหร่ประเทศของเราจะเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยจริงๆเสียที
อย่าปล่อยให้ความลำบากของท่านที่ได้ทำมา
สูญเปล่า!!!!!!!

จะสื่อให้เห็นผลงานของท่านปรีดี ที่ได้ทำไว้
แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปกับสังคมปัจจุบัน
ok!!!

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
อ. แรก ผู้ผลักดันให้เกิดบทความเหล่านี้
พ่อ ผู้ให้กำลังใจมาโดยตลอดและมาเม้นให้
เพื่อนผู้เป็นแรงใจผลักดันให้บล๊อกนี้สำเร็จ
กิ๊ฟท์ กัญ เปา เอ็ม อัญ และเบล(เหมดสุดสวย)
และพี่ๆน้องๆ ที่เข้ามาอ่านบทความและเม้นให้
และผู้ที่ผ่านไปมาแวะติชม ทุกท่านนะจ๊ะ

ขอบคุณมากๆ จ้า..^^

ร่วมติชมได้ตามอัธยาศัยจ้า มีความคิดเห็นอย่างไร บอกได้เต็มที่เลยจ้า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน
เข้ามาเม้นหรือผ่านไปผ่านมา ทุกคนจ้า

**เหมือนเดิมสำหรับผู้ที่เข้ามาใหม่
หรือที่ไม่ได้เป็นสมาชิก
ไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิก
เม้นได้เลยตามปกติ
โดยให้ คลิก คำว่า ความคิดเห็น ที่ท้ายบทความนี้ได้เลยจ้า...**

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรมในมุมหนึ่ง

สวัสดีจ้า ทุกๆคน นี่เป็นบทความครั้งที่สามแล้ว ...
ก่อนอื่นเราจะมาสรุปโพลที่ได้มากที่สุดจากบทความชิ้นที่แล้วกันก่อน
ได้ข้อสรุปว่า มนุษย์(คน) นี่แหละที่ไปยัดเยียดสร้างกระแสต่างๆให้กับหมีแพนด้า
สัตว์เหล่านี้ไม่รับรู้หรอกว่าจะมีใครทำอะไรให้ รู้แค่หิวกินอาหาร นอน เลี้ยงลูก
และรู้ว่าใครดีกับมันตามสัญตญาณของสัตว์นั่นเอง
มีแต่คนเท่านั้นที่ไปจัดงานรื่นเริง ใครล่ะที่ได้ผลประโยชน์
คนนี่แหละ หมีก็ได้เหมือนกันแต่น้อย ^^
(ทั้งๆที่เป็นเรื่องของหมีแต่ทำไมได้น้อยนักล่ะ)


และครั้งที่สามนี้ จะพูดถึงเรื่องความยุติธรรม
ฟังแล้ว นึกถึงอะไรอย่างแรก ศาล ผู้พิพากษา อารมณ์ แบบดูในหนัง สอบสวน สืบสวน
แต่เราจะไม่ไปทางนั้น
เราจะไปอีกทางนึง ให้เกิดอารมณ์สุนทรีย์นะจ๊ะ

แน่นอนว่าบนโลกนี้มีทั้งความยุติธรรม และอยุติธรรม
แล้วจะมีใครที่รู้จริงๆบ้างว่า ความยุติธรรม เนี่ย
มันมีบทมากมั๊ยในสังคม อันที่จริงถ้าจะมอง มันมีอยู่รอบๆตัวเรานี่แหละ
ลองมอง ลงไป
(ยังจุดเล็กๆของสังคม)
V
v

ในตอนเช้าวันไปโรงเรียน ตอน7.00 น.ของครอบครัวแห่งหนึ่ง

แม่ขอตังค์กินหนมหน่อย (พี่คนโตอายุ 18) นู๋ด้วย(คนกลางอายุ16) นู๋ด้วยน๊า (ไอ่คนเล็กสุด 10ขวบ)

แม่: อ่ะ เอาไปร้อยนึง เอาไปแบ่งกัน(โดยให้พี่คนโต)

พี่คนโต : อ่ะเจ้ากลางเอาไป 40 บาท ส่วนเจ้าตัวเล็ก (ด้วยความที่ตัวเล็กสุด) เอาไป 30 บาท (เฮ้ยยย !!ขี้โกงชัดๆ)

คนเล็ก:ไปฟ้องแม่ดีกว่า

แม่: อ่ะ...งั้นเอาเงินไปเพิ่มให้เท่าๆกัน แบ่งไปให้ได้คนละ 50 บาท
...............................

มองดูว่ายุติธรรมแล้วหรือยัง ?? ให้มองหลายๆๆด้าน
(นี่แค่ในครอบครัวนะ) ปัจจัยอื้อเลย !!!

ใครล่ะเสียเปรียบที่สุดมองดีดี แม่เราเอง เพราะไม่ได้อะไรเลย มีแต่เสีย ...(อืมจริง)

แม้แต่จุดที่เล็กที่สุดในสังคม หรือในโลก ต่างก็ต้องการความยุติธรรม กันทั้งนั้น

ความยุติธรรมขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ ที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับ หรือไม่นั้น
ลองมองขึ้นมาในสังคมที่กว้างขึ้นอีก
จากครอบครัว เพื่อน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด
ประเทศ !!! เป็นมันจะเยอะขนาดไหน (จริงมั๊ย)

ทุกคนที่เกิดมาต้องการความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
แต่ลองพิจารณาให้ดีว่าคนเราเกิดขึ้นมาอย่างยุติธรรมกันบ้างไหม
บางคนเกิดในครอบครัวที่ยากจน
บางคนเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ ร่ำรวยมหาศาล
แค่เกิดมาเป็นหญิงเป็นชาย เกิดมาเป็นพี่เป็นน้อง
หรือแม้แต่ลูกแฝดที่คลอดก่อนหลังกัน ก็ทำให้มีชีวิตต่างกัน
ดังนั้นหากจะถามหาความยุติธรรม ก็น่าคิด
ว่าความยุติธรรมนั้นมีจริงด้วยหรือ????


ได้ไปเจอบทความมาเยอะมาก ในอินเตอร์เน็ต
มีอยู่หลายอันได้เขียนเกี่ยวกับพวก กรรม ธรรมะ เยอะมากก
ก็นั่งดูอยู่หลายอันมาก แล้วดวงตาจึงเห็นธรรม .....
(ส่องแสงระยิบระยับแสบตาเลย)


จึงเห็น...
ความยุติธรรมนี่แปลก แพ้ทางธรรม
แพ้ยังไง ก็ถ้าไม่มีธรรม คุณธรรมไม่เกิด
ทำอะไรก็นึกถึงผลประโยชน์ส่วนตน
ถ้าเรามองให้ลึก ลึก ลึกลงไป (จะลึกไปไหน )
ธรรมมะนี่แหละ แสงแห่งความยุติธรรมที่แท้จริง
ยังไง???

ถามว่าต้องไปดูในวัดรึป่าวถึงจะเห็น (ไม่ต้อง)
ถามว่าต้องถามพระรึป่าว ถึงจะเห็น (ไม่ต้อง)
ก็เห็นว่าเป็น(ธรรม) ใช่ว่าจะอยู่แต่ในวัดอย่างเดียว (ไม่ใช่)


ก็เราชาวพุทธ พุทธแบบสืบต่อกันมาเป็นประเพณีด้วย
ส่วนใหญ่จึงไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง ของธรรม
(ขนาดผู้เขียนเองเกิดมา อยู่ดีดีเป็นชาวพุทธโดยไม่ทันตั้งตัว)
ในเมื่อเราเป็นคนไทยเมืองพุทธ ความสำคัญเราจึงอยู่ที่จิตใจ
เมื่อเราเป็นพุทธ เราจึงเกิดความทุกข์ มีความทุกข์ จริงมั๊ยจ๊ะ
ทุกข์ทำให้เกิดกิเลส แต่เมื่อใดเรามีธรรม เข้าใจสิ่งมนุษย์ควรจะเป็นแล้ว
ไม่ว่าในฐานะไหน ก็เกิดความยุติธรรม

มองไม่เห็น ภาพ .. (งั้นมองลงไปยังจุดเล็กๆ)

สมมุติ (จากความตอนที่แล้ว)
แบ่งเงินไม่เท่ากัน ถ้าเราเข้าใจ ว่า พี่ตัวโต กินเยอะกว่า เรียนเยอะ กิจกรรมเยอะ
ยิ่งโตยิ่งมีวามรับผิดชอบ( โอเค ยกไป)
พี่คนกลาง มองในลักษณะเดียวกัน (โอเค ยกไป)
คนน้อง ก็โอเค๊ (เข้าใจธรรมชาติ/มองเห็นธรรม) เรามันเล็กกว่า จะกินไรมากมาย เดี๋ยวกลับมาก็กินข้าวที่แม่ทำเหมือนกัน

เมื่อเข้าใจตัวเองแล้ว ความยุติธรรมจึงเกิด มีได้ เข้าใจได้
จะเห็นว่า ในสังคมเรามีหลากหลายฐานะ หลายสถานภาพ หลายยุคหลายสมัย
มองในแง่กฎหมายก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตามคน ไม่แน่นอน

แต่ความยุติธรรมที่แท้จริงคือ ใช้(ธรรม)
คิดเอาว่าเราเข้าใจธรรมชาติดีแค่ไหน กัน


"คุณล่ะเคยมั๊ยเวลาพอใจอะไร ถึงแม้จะได้น้อยกว่าคนอื่น เรายังรู้สึกว่ามันพอแล้ว ยุติธรรมแล้ว "

โดยเริ่มจากมองตัวเองก่อน นะ



ทำไมผู้เขียนถึงชอบเอาครอบครัวมาเริ่ม
เพราะครอบครัวเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มแรกเสมอของการสอน
ถ้าเราไม่มองจุดเล็กก่อน
มองจุดใหญ่มันจะปฎิบัติยากนะ
ถ้ามองจุดเล็กอย่างน้อย เราก็รู้จักกัน
พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ
จะง่ายกว่ามั๊ยถ้าเรามองสิ่งรอบๆตัวเราก่อน
จริงรึป่าวจ๊ะ^^ ท่านผู้ชม


ร่วมติชมได้ตามอัธยาศัยจ้า มีความคิดเห็นอย่างไร บอกได้เต็มที่เลยจ้า

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน

เข้ามาเม้นหรือผ่านไปผ่านมา ทุกคนจ้า

**เหมือนเดิมสำหรับผู้ที่เข้ามาใหม่
หรือที่ไม่ได้เป็นสมาชิก
ไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิก
เม้นได้เลยตามปกติ
โดย ให้ คลิก คำว่า ความคิดเห็น ที่ท้ายบทความนี้ได้เลยจ้า...**



วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รัฐในอุดมคติของฉัน

สวัสดีจ้าทุกๆคน นี่เป็นครั้งที่สองของการเขียนบทความ
เพราะคำสั่งได้ลงมาแล้ว *(><")*

ในหัวข้อ " รัฐในอุดมคติ" ของฉัน

เชื่อว่าทุกคนในสภาพบ้านเมืองแบบนี้
ต้องมีจินตนาการบ้างล่ะ อยากให้บ้านเมืองเราเป็นอย่างไร?
อยากได้ผู้บริหารแบบไหน?มาบริหารประเทศ
เพราะสมัยนี้ มองไปทางไหน มีแต่เรื่องการเมืองๆๆๆๆ
เบื่อมาก อะไรๆก็ผลประโยชน์
ขนาดหมีแพนด้ายังเข้ามาเกี่ยวอ่ะ คิดดู!!
(แพนด้า:หนูพูดไม่ได้ ว่าอ่านโปสการ์ดก็ไม่ออก)
และเมื่อไหร่จะเลิกชุมนุมเย้วๆกันซักที ยิ่งระยะหลังๆเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ประชาชนก็บอบช้ำกันไปตามๆกัน
เหนื่อยแทน นี่ขนาดยังเรียนยังเรียนอยู่นะเนี่ย ^^!

เมื่อวานไปซื้อส้มตำ (ปูปลาร้า)
อยู่ดีดี ก็นึกอยากถาม ป้าส้มตำขึ้นมา
"ป้าอยากได้รัฐบาลแบบไหนอ่ะ "
เพราะตอนแรกถามว่า
"ในความคิดป้ารัฐในอุดมคติของป้า เป็นยังไง"
ปรากฎว่าป้าแก--งง-- ( - -")
เลยถามให้ง่ายขึ้น^^
ป้าตอบแบบง่ายๆสไตล์ป้าส้มตำเจ้าเก่า (สาขา สัตหีบ ณ ลานม้าน้ำ)

....ว่า
"ใครก็ได้ ที่จะขึ้นมาบริหาร แต่ช่วยมองคนระดับล่างที
เพราะคนรวยมันก็รวยมาก จนแตกต่างเหมือนอยู่คนละโลกกันเลย
การรักษาพยาบาลอีก ไม่ไหวจริงๆ เลือกปฏิบัติ
ป้าก็ไม่ค่อยมีเงิน แถมต้องทำมาหากินอีก.. "
(แต่ป้าแกก็ใส่อารมณ์เต็มที่เหมือนกัน อารมณ์แบบของขึ้น)
ปล.เอามาแต่งคำให้สละสลวย เพราะคำที่ป้าแกพูด
มันออกอากาศยากเหลือเกิน เผื่อมีเยาวชนที่ที่เป็นเด็กน้อย หลงเข้ามาอ่า


หลังจากที่เก็บเอามาคิด ว่าจะเขียนยังไง
ก็ไปหางานเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่มนุษย์ต้องการ

แต่ไปสะดุด กับบทความของ
อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์
คือเขียนได้ครอบคลุม สิทธิ ที่ มนุษย์ คนนึงควรได้รับ
ตั้งแต่อยู่ในท้องจนถึงชีวิตเป็นเถ้าธุรี
ชื่อเรื่อง "จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน" ใครเคยได้ลองอ่านจะรู้เลยว่า
รัฐในอุดมคติที่เราต้องการเนี่ย เป็นแบบนี้เลย (หรือเราจะคิดไปเองฝ่ายเดียว)
ต้องทำให้ประชาชนแบบนี้เลย
****หาอ่านจากบทความ ที่แล้ว ที่เขียนว่า "จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน" ****

ถ้านโยบายเหล่านี้ครอบคลุม กว่า ๘๐%
การติ(ด่า) การประท้วง การปฏิวัติ ทั้งหลายจะหายไปจากสยามเมืองยิ้มของเราเป็นแน่
กลายเป็นสยามเมืองยิ้ม กลับมาแบบเดิมแต่ก่อนโน้น ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โน่น (รึเปล่า)
.......
พักไว้ก่อน (ทำเสมือนเป็นวิชาคณิตศาสตร์)
.......
จากบทความครั้งแรก ผลโพลโดยส่วนใหญ่
ที่ได้คือ "ความคิดนี้น่าจะเอาไปต่อยอดได้อีก "
เมื่อคนส่วนใหญ่ รีเควส
ทางเราจึงนำมาต่อยอด
ในเรื่องของการศึกษา
.......
ในบทความ อ.ป๋วย ได้เขียนไว้นั้น เริ่มมาจากครอบครัวเลย
เพราะแม่มีลูกอยุ่ในครรภ์
เพราะครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของการสอน(ศึกษาขั้นแรก)
ลองนึกดูว่าถ้าประชาชนมีความสุข
เค้าจะสอนลูกอย่างไร
ในเมื่อสิ่งที่ อ.ป๋วยเขียนมา ทั้งหมด ถ้ารัฐทำได้จริงๆ
ทุกคนจะแฮปปี้ เป็นไปตามธรรมชาติ

เมื่อรัฐทำได้อย่างที่พูดไว้
ตามที่ประชาชนเลือกเข้าไป แสดงว่าการทุจริต
มีน้อยมาก เพราะนึกถึงประชาชนเป็นสำคัญ
ในเมื่อทุกสิ่งอย่างประชาชนได้รับ
การสอนจึงเต็มไปด้วยจริยธรรม ที่ดีงาม
(โห... ดูแล้วประเทศไทยคงห่างไกล เหลือเกิน)
ทั้งชีวิตคนๆนึงที่พึงจะได้รับ แล้วลองนึกไปอีก
คนทั้งครอบครัว ทั้งตำบล ทั้งประเทศ
อ่ะ ให้ทั้งโลกเลย (เยอะมาก)
ได้การปฏิบัติแบบนี้เหมือนกันหมด โลกเราก็มีความสุข แน่นอน
ขนาดถึงเมื่อเราตายไปแล้ว ที่ดินยังมีความสำคัญ
กับคนอื่นๆอีก
คือเห็นความสำคัญของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ถามว่า โกงบ้านเมืองมาเอาเงินไปเสพความสุข
ใครได้ ก็คนนั้นแหละ (ตัวเอง) แล้วคนอื่นล่ะ ช่างมัน ยังงั้นเหรอ?
ชิวิตช่วงสุดท้าย เงินทองต่อให้มากแค่ไหนก็เอาไปไม่ได้
แต่การปกครองที่ดีประชนมีความสุข จะทำให้ประชาชนอยู่กับเราไปตลอด
ความดีของเราเมื่อตายไป ยังจะส่งต่อไปยันรุ่นต่อๆไป
การที่ปกครองมนุษย์ด้วยกันเอง
โดยที่นึกถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นั่นจะเป็นสิ่งที่ทุกคนนึกถึง
นึกถึงด้วยความสุข ความดีงาม มีศีลธรรมและจริยธรรม
ไม่ใช่มายา (เงิน อำนาจ ความสุขสบายเฉพาะตน)
ชาวต่างชาติที่เข้ามาก็จะเห็นยิ้มสยามที่เป็นยิ้มแบบบริสุทธิ์ จริงๆ
ไม่ใช่ยิ้มแบบ.. (ฝรั่งมาแล้ววว ฝรั่งเงินหนา กอบโกยกันสุดฤิทธิ์สุดเดช)
ยิ้มแบบ หวานหมูเลย แง่มๆ
อย่างนี้ฝรั่งคงร้องโอยย โอยย
หรือคนไทยด้วยกันเอง มัวแต่ขูดเงินกันเอง
ก็คงร้องโอยย เหมือนกัน
ถ้ารัฐทำได้แบบนี้
ทุกคนจะเท่าเทียมกัน เพราะการปฏิบัติทุกคนได้เหมือนกัน


ก่อนเราจะตายใครล่ะจะอยู่เคียงข้างเรา
ไม่ใช่ครอบครัวเราหรอกเหรอ หรือว่า เงินทอง หรืออำนาจ
เพื่อนๆลองคิดดูนะ

(ปล. ความคิดของป้าส้มตำ ก็อยู่รวมถึงความต้องการ
ที่มนุษย์คนนึงพึงจะได้รับจากผู้ปกครองที่กุมเศรษฐกิจและประเทศไว้นั่นเอง)

รัฐในอุดมคติของผู้เขียนจึงเป็นเช่นนี้แล

**ก่อนที่รัฐจะเป็นสุขต้องทำให้คนในปกครองเป็นสุขเสียก่อน ผลที่ได้กลับมามันจะมหาศาล***

(สองหัวแล้วเดินไปด้วยกัน
ดีกว่าหัวเดียวแบกอำนาจเงินทองไว้
แล้วใครล่ะจะมาช่วยเมื่อเราทุกข์
ไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือจ๊ะ)

ปล. เพื่อนๆอย่าลืมไปอ่าน" จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน"
ที่อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์เขียนไว้นะจ๊ะ

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นที่เข้ามาติ/ ชม จ้า
และเพื่อนๆสามารถติ/ชม หรือสอดแทรก ความคิดเห็นได้ตามอัธยาศัยเลยจ้า ขอบคุณจ้า

**เหมือนเดิมสำหรับผู้ที่เข้ามาใหม่
หรือที่ไม่ได้เป็นสมาชิก
ไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิก
เม้นได้เลยตามปกติโดย
ให้คลิคำว่า
คำว่า ความคิดเห็น
ที่ท้ายบทความนี้ได้เลยจ้า...**



จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน

จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน ใครที่ยังไม่เคยอ่านอยากให้อ่าน เขียนดีมาก มาก

เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์
และได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก
ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ผมมีอยู่ และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก

พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกฎหมาย หรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ ไม่สำคัญ
แต่สำคัญที่ พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง

ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ
ผมต้องการให้แม่ผมกับตัวผม ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์

ผมต้องการไปโรงเรียน พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียน จะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้
รู้คุณธรรมแห่งชีวิต ถ้าผมมีสติปัญญาเรียนชั้นสูงๆ ขึ้นไป ก็ให้มีโอกาสเรียนได้

ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวยหรือจน จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น
เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย
ทำให้ได้รับความพอใจว่า ตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม


บ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่จะต้องมีขื่อ มีแป ไม่มีการข่มขู่ กดขี่ หรือประทุษร้ายกัน
ประเทศของผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรม และเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก
ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิด และวิชาของมนุษย์ทั้งโลก
และประเทศของผมจะได้มีโอกาส รับเงินทุนจากต่างประเทศ มาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม

ผมต้องการให้ชาติของผมได้ขายผลิตผลแก่ต่างประเทศด้วยราคาอันเป็นธรรม
ในฐานะที่ผมเป็นชาวไร่ชาวนา ผมก็อยากมีที่ดินของผมพอสมควรสำหรับทำมาหากิน
มีช่องทางได้กู้ยืมเงินมาขยายงาน มีโอกาสรู้วิธีการทำกินแบบใหม่ๆ มีตลาดดี และขายสินค้าได้ราคายุติธรรม

ในฐานะที่ผมเป็นกรรมกร ผมก็ควรจะมีหุ้นมีส่วนในโรงงาน บริษัท ห้างร้านที่ผมทำอยู่

ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ ผมก็ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์
และหนังสืออื่นๆ ที่ไม่แพงนัก จะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์
ก็ได้โดยไม่ต้องทนรบกวนจากการโฆษณามากนัก

ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมฟรี
กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก

ผมจำเป็นต้องมีเวลาว่างสำหรับเพลิดเพลินกับครอบครัว
มีสวนสาธารณะที่เขียวชะอุ่ม สามารถมีบทบาท
และชมศิลปะ วรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรมต่างๆ
เที่ยวงานวัน งานลอยกระทง งานนักขัตฤกษ์ งานกุศลอะไรก็ได้พอสมควร

ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม

เรื่องอะไรที่ผมเองไม่ได้ หรือได้แต่ของไม่ดี
ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปสหกรณ์ หรือ สโมสร หรือสหภาพ จะได้ช่วยซึ่ง
กันและกัน

เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า
ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ

ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัวผม ต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ

เมียผมก็ต้องการโอกาสต่างๆ เช่นเดียวกับผม และเราสองคนควรจะได้รับความรู้และวิธีการวางแผนครอบครัว

เมื่อแก่ ผมและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม ซึ่งผมได้จ่ายบำรุงตลอดมา

เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ
คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง
ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ

เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ เก็บไว้ให้เมียผมพอใจในชีวิตของเธอ
ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้ เลี้ยงให้โต แต่ลูกที่โตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด
จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่นๆ บ้าง

ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่างฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน
และอย่าทำพิธีรีตอง ในงานศพให้วุ่นวายไป

เขียนโดย อ. ป๋วย อึ้งภากรณ์
ผู้ที่นำมาเผยแพร่ คือ คุณ si เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2008
ขอบคุณคุณ si ที่นำบทความดีดีมาเผยแพร่

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อำนาจที่ดีสร้างได้


สวัสดีจ้าเพื่อนๆชาวไซเบอร์ ชาว blog ทุกคน ^^
นี่เป็นblog ที่เผยแพร่ทางความคิดที่ทุกคนจะมีอิสระภาพทางความคิด
ในการสร้างบล็อกนี้เป็นการสร้างครั้งแรก มีครั้งแรก เพื่ออาจารย์แรก เข้าคอนเซบพอดี
และจะพยายามเขียนให้เพื่อนๆได้เข้าใจง่ายที่สุด
ถ้ามีข้อผิดพลาดหรือเข้าใจยากก็ขอคำติชมเพื่อแก้ไขให้แจ่มแจ้งในครั้งต่อๆไปนะจ๊ะ^^

อำนาจที่ดีสร้างได้ ..ถ้า??
หาคำตอบได้ ณ ที่นี้ ...
แต่นแตนแต๊น...(ไร้สาระตั้งแต่เริ่มเลยทีเดียว)^^

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ทุกคนทราบกันแล้ว เมื่อคนมาอยู่รวมกันมากขึ้นๆ
แน่นอนว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้น และเพื่อที่จะทำให้ปัญหานั้นทุเลาลงและหมดไป
เราจะต้องสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อจัดการให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
กฏเกณฑ์เหล่านั้นก็จะพัฒนาขึ้นตามความเหมาะสมกับกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม
และคนที่สร้างกฎเกณฑ์เหล่านั้นขึ้นมา สร้างขี้นมาเพื่ออะไร?
สร้างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือคนส่วนใหญ่ ?
(แต่ในปัจจุบันคนสร้างกฎนั้นแน่นอนต้องให้ตัวเองได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ ..ป่อยย!!!) นี่คือเรื่องจริง.
การศึกษาทำให้มนุษย์มีความรู้มาก คนที่มีความรู้มากก็ย่อมเอาเปรียบคนมีความรู้น้อย
ผู้ที่ได้รับการศึกษาสูงจะเข้ามามีบทบาทมากในการทำงานต่างๆมากกว่าคนที่มีการศึกษาน้อย
ระดับการทำงานก็ต่างกัน ในเมืองไทยที่เห็นๆได้ชัด การศึกษายิ่งสูงยิ่งมีความสำคัญคนนับหน้าถือตา สังคมก็สูงขึ้น การแข่งขันก็มากขึ้น ยิ่งมีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นอำนาจที่มีในการปกครองก็มากขึ้นด้วย
และมนุษย์มีการแสวงหาไม่จบสิ้น ในสังคมปัจจุบัน เห็นได้ชัดในเรื่องของการเมือง คนที่เข้าไปก็จะมีอำนาจ และผลประโยชน์ก็จะตามมา.( ทั้งนั้นน่ะ นักการเมือง)
สังคมไทยจะปลูกฝังในเรื่องการศึกษามาก

ตัวอย่าง
ครอบครัว -ไม่มีเงินเข้าเรียนโรงเรียนดีดี อย่างน้อยก็ยังมีวัดที่คอยสอนหนังสือ อย่างน้อยเรายังพอรู้เรื่องบ้างอ่านออกเขียนได้แหละน่า ( การใช้ชีวิต )
-ต้องเรียนสูงๆนะลูก พ่อแม่ทำงานหาเงินเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ จะได้ไม่ต้องมาลำบาก ( นึกถึงอนาคต )
-อ่ะเอาเงินไปเรียนพิเศษ จะได้สอบติด ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคนกับเค้าบ้าง ( เป็นความหวัง )
รัฐบาล -มีนโยบายเรียนฟรีจนถึง ม.6 เพื่อให้เด็กไทยมีอนาคต และ มีความรู้กันทั่วถึง เพื่อจะได้มาพัฒนาประเทศชาติให้เจริญ ( ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ )


จะเห็นว่าการศึกษาสำคัญมากพัฒนาตั้งแต่บุคคลจนไปถึงประเทศชาติ แต่การเรียนการสอนสำคัญยิ่งกว่า เพราะสอนให้คนมีความรู้และรู้จักคิด และแล้วก็มาเจอนักปรัชญาคนนึงที่มาสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด คือ เบอร์แทรนด์ รัสเซ็ล ( อ๊ะ เค้าเป็นใครหนอ? เค้ามาจากไหน? )

ถ้าผู้ที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้อาจจะงงว่าท่านผู้นี้คือใคร แนะนำคร่าวๆพอรู้ที่มาก่อนจะดีกว่า เบอร์แทรนด์ รัสเซ็ล (ค.ศ. 1872-1970) Bertrand Russell ท่านผู้นี้เป็นนักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา ชาวอังกฤษ มีชื่อเสียงด้าน ตรรกศาสตร์และทฤษฎีว่าด้วยความรู้ แต่มาได้รางวัลโนเบลสาขาวรรณคดี จากผลงานเรื่อง “ประวัติศาสตร์ปรัชญาตะวันตก”

รัสเซลมีความเห็นว่า “รากฐานแห่งอำนาจนั้นมาจากการศึกษา การศึกษาแบบเผด็จการ”(authoritarian education)

การศึกษาแบบเผด็จการเป็นยังไง?
ก็ที่เราเรียนมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปัจจุบันในบ้านเมืองของเรานี่เอง
คือจะสอนให้เด็กแลเห็นความสบาย((อ่า อ่า อ้าปากหน่อย อั้ม!!!ป้อนเข้าปากเสร็จ กลับบ้านได้ !!!) สอนให้สบายในการมีอำนาจ และมุ่งหวังอำนาจเป็นอุดมคติแห่งชีวิตและการกระทำทุกอย่าง
ละรัสเซ็ลยังชี้ให้เห็นถึง การศึกษาแบบเผด็จการทำให้เกิดทั้งคนที่เป็นทาสและคนที่เป็นนาย
เพราะการศึกษาแบบนี้ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้นมีอยู่ทางเดียวคือ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ออกคำสั่งและผู้รับคำสั่ง ซึ่งก็น่าคิดเพราะเราเป็นสังคมที่มีประชาธิปไตยเป็นจุดหมายปลายทาง แต่ขณะเดียวกันเราก็เป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมประเพณี(ทางเผด็จการ)
ที่เกิดจากการศึกษาที่ตกทอดต่อๆๆๆกันมาหลายรุ่นหลายยุคสมัย นี่แสดงถึงจุดเริ่มต้นที่น่าจะเปลี่ยนให้หมดเพราะเป็นรากฐานที่สำคัญ เพราะ....
เราก็เห็นกันอยู่ ว่าอะไรที่เป็นตัวนำพาประเทศชาติ ก็คือการเมือง และเศรษฐกิจ
รัสเซ็ลได้เสนอความคิดทางการเมืองไว้ว่า “มนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองเพราะแสวงหาอำนาจเหนือคนอื่น” ฟังดูแล้วก็จริงที่มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใฝ่หาอำนาจ
คนที่จะใช้อำนาจในการปกครองประเทศนั้น ใครๆก็รู้ว่าคือ นักการเมือง
รัสเซ็ลกล่าวว่า ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยนักการเมืองจะต้องสามารถทำให้พรรคการเมืองเชื่อถือไว้วางใจในตนเสียก่อน แล้วจึงหาความนิยมให้ผู้เลือกตั้งให้ได้มากจนพรรคนั้นมีเสียงข้างมาก
นักการเมืองคนใดทำได้ก็เป็นผู้มีอำนาจปกครองประเทศ และผู้ที่อำนาจมาก และมากขึ้นเรื่อยๆนั้น
มักจะลืมตัวและลืมคนอื่นได้ง่าย
ก็ดูได้จากหลายๆเหตุการณ์ในบ้านเรา เวลาเลือกตั้ง นักการเมืองมาหาเสียงให้เลือกเบอร์นี้ มีนโยบายต่างๆพูดดีด้วยยกมือไหว้ ว่าถ้าเลือกแล้วจะทำได้อย่างที่นโยบายบอกไว้
แต่พอได้รับเลือกแล้วก็ลืมสิ่งที่พูดไว้ เหลือแต่เพียงกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด นี่หรือการเมืองไทย (ดูขนลุกยังไงชอบกล)
แม้ว่าทรรศนะของรัสเซ็ลจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองจะไม่สมบูรณ์ จะเน้นไปทางการแสวงหาอำนาจ
แต่มันก็ช่วยเตือนใจพวกเราได้ว่า นักการเมืองไทยที่ลงสนามการเมือง
เพราะมีปัจจัยด้าน “ต้องการอำนาจเหนือคนอื่น
เขาผิดตั้งแต่เริ่มแล้วเพราะเมื่อมีความโลภ โลภในอำนาจการกระทำนั้นก็หันเหในทางที่เลวร้าย
แต่จะหาใครที่ดีพร้อม คงไม่มี
เอาเป็นว่ารากฐานของมนุษย์นั้นสำคัญเพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญๆยิ่งๆขึ้นไป
เราเปลี่ยนได้ถ้าทุกคนช่วยกัน


หลังจากอ่านจบบางคนอาจจะอยากกินสลิ่มเพราะสีสันเยอะเหลือเกิน ..ป่อยย!!
ขอขอบคุณอาจารย์แรกผู้สนับสนุนหลักและผู้ผลักดันให้มี
สิ่งใหม่ๆในไบโลกนี้
เพื่อนๆสามารอ่านเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือปรัชญาการเมือง ของผู้แต่ง ทองแถม นาถจำนง ทุกเล่ม
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน
เข้ามาเม้น
แสดงทรรศนะได้อย่างเต็มที่ เลยนะคร๊าาาา

.........................แล้วเจอกันใหม่ในครั้งหน้าที่น่าจะไฉไลกว่าเดิม
การเดินทางยังคงไม่มีที่สิ้นสุด....

"ความเท็จที่งอกงามในแวดวงแห่งอำนาจ

ไม่มีวันจะเปลี่ยนเป็นความจริงขึ้นมาได้"

(เรื่อง "นกเถื่อน" ของ รพิณทรนาถ ฐากูล)


สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกให้กด ตรงที่เขียนว่า ความคิดเห็นที่ต่อจากวันที่นะคะ

ตรงท้ายสุดของบทความ

แล้วจะมี ให้ลงความคิดเห็น ขอบคุณจ้า^^